ยังไงเค้าก็เป็นคนไทยไม่ได้ และเราก็เป็นเกาหลีไม่ได้
แททเคยเกริ่นคร่าวๆก่อนหน้านี้ว่าการไม่ใช่คนเกาหลีนั้น สร้างปัญหาให้คู่เราเป็นอย่างหนักในช่วงนึงจนเกือบไม่ได้แต่งงานกัน วันนี้อยู่ในอารมณ์อยากเล่าอย่างละเอียดค่ะ อาจจะไม่ได้ให้ข้อคิดอะไรใครแต่ก็คิดซะว่าอ่านนิยายเรื่องจริงละกันเนอะ 555555
เริ่มจากว่าตัวแททไม่ชอบคนเกาหลีเป็นทุนเดิม ตอนทำงานกับคนเกาหลีก็บ่นเป็นหมีจนคนรอบข้างรับรู้ทั่วกันถึงการไม่นิยมกินกิมจิของหนู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณแม่ซึ่งรักเรามากกว่าสิ่งใดในโลก แม่รู้สึกเหมือนเราโดนคนชาตินี้รังแก ประกอบกับว่าเคยมีลูกสาวเพื่อนของคุณแม่ที่คบกับหนุ่มเกาหลีแล้วโดนแทงหลายแผลจนเสียชีวิตเมื่อฝ่ายหญิงต้องการเลิก มันเป็นเรื่องสลดที่คงทำให้แม่ขยาดไปเลย แม่เลยคิดมาตลอดว่าคนเกาหลีโหดร้ายค่ะ และเมื่อลูกไม่ชอบคนเกาหลี แม่ก็เลยไม่ต้องกังวลแม้ว่าชีวิตเราจะวนๆเวียนๆกับคนชาตินี้ (จริงๆนะคะ เหมือนไม่ชอบยิ่งเจอ)
และเมื่อเราถูกเปลี่ยนความคิดเพราะผู้ชายคนนี้ เราก็มีความกลัว กลัวว่าคนรอบข้างจะไม่เข้าใจและรับไม่ได้ ถ้าจะพูดกันตรงๆ ความคิดแททไม่ได้เปลี่ยนไปเลยทั้งหมดนะคะ แต่เราแค่พยายามมองว่าทุกชาติก็มีคนนิสัยไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง ทีนี้ เมื่อเราเริ่มคุยกับโอปป้าจริงจังเราก็ต้องคิดหาวิธีบอกแม่ เพราะแททกับแม่สนิทกันมากนะคะ แม่รู้จักเพื่อนทุกคน แม่รับส่งจนแทททำงานเลยค่ะ เลยค่อยๆเกริ่นก่อน ว่าเนี่ย มีคนเกาหลีมาจีบ (แต่จริงๆตอนนั้นคบกันแล้วค่าาา) แม่ก็แค่ฟังแล้วก็เหมือนหยั่งเชิงค่ะ แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
ช่วงนั้นแม่แททไม่สบายหนักค่ะ ความจริงคุณแม่ป่วยเป็นมะเร็งมาหลายปีแล้ว แต่นี่คือช่วงที่ทรุด เข้าๆออกๆโรงพยาบาลตลอด วันนั้นแททก็ไปหาแม่ที่โรงพยาบาลตามปกติ ก็เลี่ยงๆที่จะพูดเรื่องโอปป้าค่ะ เพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ พอเย็นนั้นแททต้องไปรับโอปป้าที่สนามบิน นางกลับมาจากไปเยี่ยมบ้านที่เกาหลีค่ะ ระหว่างนั้นพี่ชายแททก็ไปหาแม่ที่โรงพยาบาล แม่ก็ไปบ่นกับพี่สะใภ้ว่าเนี่ย ทำไมเดี๋ยวนี้แททไม่บอกอะไรเลย ด้วยความที่พี่ชายอยากอวดแม่ว่ารู้เรื่องน้อง ก็เลยบอกแม่ว่าไปส่อง facebook โอปป้ามา ดูจากที่แทท tag ชื่อ เล่าสรรพคุณหมดทุกอย่างเลยนะคะ ว่าทำงานที่ไหน เรียนจบอะไร แถมปีเกิดให้ด้วย แม่ก็เลยรู้ว่าเค้าแก่กว่าแทท 6 ปี ซึ่งคนจีนถือมากนะคะ ว่าชงหนัก คบไม่ได้เด็ดขาด
ระหว่างที่แททขับรถพี่สะใภ้ก็โทรมาเตือนว่าแม่โวยวายกับพี่ชายใหญ่เลย แม่บอกว่า ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ เค้าแก่กว่าน้อง 6 ปี แบบนี้ไม่ดี พี่ชายแททก็งงค่ะ ด้วยความที่เป็นผู้ชาย เค้าจะไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดพวกนี้ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า 6 ปีมีความหมายอะไร แม่ก็โทรหาแททเลยค่ะ แททไม่กล้ารับ กลัวมากๆ สักพักแม่ก็ส่งไลน์มา เนื้อหาประมาณว่า "อย่าเล่นกับไฟเลยนะลูก แม่กลัวเค้าทำร้ายลูกแม่ แม่ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตปกป้องลูกไปได้นานขนาดไหน" มาเล่านี่ก็น้ำตาซึม แต่ตอนขับรถนี่น้ำตาไหลพรากนะคะ 5555
หลังจากนั้นแททเลยไปหาแม่บ่อยขึ้นค่ะ ค่อยๆเล่าเรื่องโอปป้าทีละนิดๆ โอปป้าตามไปบ่อยแต่ก็นั่งรอในรถบ้าง รอที่ล็อบบี้บ้าง แต่แม่รู้ทุกครั้งนะคะ ว่าเค้ามารอ แม่ไม่เคยถามและแททก็ไม่เคยบอก แต่ความที่รู้จักเราดีมาก แม่ดูออกค่ะ
จนกระทั่งวันที่แม่โคม่า อยู่ดีๆแม่ก็ล้มในห้องน้ำค่ะ จนต้องเรียกรถพยาบาลมาที่บ้าน ตอนนั้นรู้ทันทีว่าเข้าขั้นโคม่า แม่ต้องอยู่ ICU แต่มีสติตลอดนะคะ ช่วงนั้นเยี่ยมได้เป็นเวลา ตอนเช้าแททจะมาหาแม่แล้วพาโอปป้ามาด้วย พอตอนบ่ายเราก็ไปหาอะไรทำรอเวลาเยี่ยมอีกทีตอนเย็นค่ะ ช่วงนั้นแททแย่มาก เครียดด้วย แล้วก็เคว้ง โอปป้าก็บินไปๆมาๆพม่าเพราะงาน แททจะไปเยี่ยมแม่ตอนพักเที่ยงและเลิกงานทุกวัน พอกลับมาบ้านอยู่คนเดียวก็ร้องไห้ ทุกวันที่หลับคือการลุ้นว่าโรงพยาบาลจะโทรมาแจ้งข่าวร้ายกลางดึกมั้ย
มีวันหยุดยาวช่วงนึงที่แททตั้งใจไปเยี่ยมโอปป้าที่พม่า แต่ตอนนั้นอาการแม่ไม่ดีเลยค่ะ ลังเลมากว่าจะยกเลิกตั๋วดีมั้ย แต่แม่อยากให้เราไป เหมือนเค้าเห็นแททเครียดมาก แล้วอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก่อนไปแททก็ไปหาแม่แล้วก็บอกแม่ว่าจะรีบกลับมา อาทิตย์นั้นหมอให้แม่สอดท่อลงคอค่ะ เราเลยไม่ค่อยได้คุยกัน แททอัพเดทอาการแม่จากป้าและพี่ชาย
พอแททกลับมาไปหาแม่แททเห็นท่อพันเต็มตัวแม่ และตอนนั้นหมออยากให้แม่หลับ เค้าให้ยาหนักมากค่ะ แม่จะสะลึมสะลือตลอด แททยืนร้องไห้หน้าห้อง ICU จนพยาบาลคงชินเลยค่ะตอนนั้น พอหมอเอาท่อออกแม่ก็กลับมาพูดคุยปกติค่ะ แต่จะเพลียมาก แม่บอกเรากับโอปป้าให้ดูแลกันดีๆ บอกพี่ชายกะแททให้อย่าทิ้งกัน คือมันเป็นจุดที่สุดของชีวิตจริงๆนะคะ
หลังจากแม่เสีย โอปป้าก็พยายามอยู่กะเรามากขึ้นค่ะ เค้าพยายามไปพม่าน้อยลง ไม่ก็รีบกลับ เค้าไปต่อรองกับที่บริษัทว่าขอย้ายมาประจำการที่ไทย ตอนนั้นแททพูดได้เลยว่า ถ้าไม่มีเค้าเราคงแย่มากๆ โอปป้าปลอบเราไม่เป็น เวลาแททร้องไห้เค้าจะค่อนข้างอึดอัด เหมือนทำอะไรไม่ถูกอ่ะค่ะ แต่เค้าก็จะนั่งเป็นเพื่อนจนกว่าเราจะหาย
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป กลับกลายเป็นว่าการเป็นคนไทยของเราจะเกิดเป็นปัญหา
เราเดินทางไปเกาหลีด้วยกันเพื่อแจ้งท่านว่าจะแต่งงาน เป็นการพบกันครั้งที่สองนะคะ ครั้งแรกเจอกันที่ร้านอาหาร ครั้งนี้ไปทานข้าวที่บ้านค่ะ ความจริงโอปป้าบอกที่บ้านไว้ก่อนแล้วเรื่องแต่งงาน แต่ก็เหมือนอยากให้เราไปเจอที่บ้านเค้า ให้คุ้นเคยกัน
เมื่อทางครอบครัวโอปป้าทราบว่าเราจะแต่งงานกัน อัปป้า (คุณพ่อของโอปป้า) ก็พูดเรื่องที่โอปป้าคาดไม่ถึง ท่านพูดเหมือนกับว่าโอปป้าจะไม่ได้กลับมาเกาหลีอีกแล้ว มันเป็นความใจหายของพ่อแม่เมื่อรู้สึกว่าลูกไม่ได้แค่จากบ้านไปทำงาน แต่เป็นการย้ายถิ่นฐานถาวร ท่านถามว่าแล้วถ้ามีลูก จะให้ลูกใช้สัญชาติอะไร เปรียนเสมือนกับว่าหลานเค้าก็จะไม่ได้เป็นคนเกาหลี คือแต่ละคำถามมันกระชากอารมณ์มากๆเลยค่ะ ตอนที่เค้าคุยกันแททกลับมาไทยก่อนแล้วนะคะ แททต้องรีบกลับเพราะลางานไม่ได้นาน
พอโอปป้ากลับมาเล่าให้ฟังเราก็ดราม่าเลยค่ะ เพราะทุกคำถามมันเป็นคำตอบที่ต้องทำร้ายจิตใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราไม่ต้องการตอกย้ำพ่อแม่เค้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าโอปป้ารับไม่ได้ที่พ่อแม่เค้าจะผิดหวัง นั่นหมายถึงเราก็จะไม่ได้แต่งงานกัน เพราะสิ่งที่พ่อแม่เค้าคาดหวังนั้นเราไม่สามารถเติมเต็มได้ การที่เราแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ใหญ่ เราต้องเป็นหัวหลักในการรวมญาติวันไหว้บรรพบุรุษ เมื่อมีงานเลี้ยงเราก็ต้องเป็นตัวตั้งตัวตี คือสะใภ้คนอื่นๆจะเป็นคล้ายๆกับลูกมือเรา ซึ่งการที่เราจัดการอะไรไม่เป็นเลยอาจจะทำให้เสียระบบ เมื่อเรามีลูก ลูกเราก็จะไม่ใช่เชื้อเกาหลี 100% ลูกเราจะถูกเด็กเกาหลีคนอื่นๆรังแกและล้อเลียนที่เค้าเป็นลูกครึ่ง มันเป็นระบบความคิดแบบชาตินิยมมากๆค่ะ ส่วนตัวเราเอง ก็จะถูกกีดกันจากสังคมแม่ๆคนเกาหลี ถึงแม้ว่าเราจะพูดภาษาได้ แต่เราก็ไม่เหมือนเค้า
การย้ายไปอยู่ประเทศเค้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เค้าถึงบอกว่า "There's no place like home" แททเข้าใจอย่างลึกซึ้งเมื่อเรานึกถึงว่าถ้าต้องย้ายไปจริงๆ ไปเที่ยวกับไปอยู่นี่ความรู้สึกต่างกันมากนะคะ ภาษาเป็นปัญหาแรก การเรียนภาษาในวัยนี้ไม่ได้ยากเกินไป แต่ต้องใช้เวลานานขนาดไหนเราถึงจะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่พึ่งเค้า เรื่องที่สองคือเรื่องงาน แททเป็นผู้หญิงทำงานค่ะ อยู่ว่างไม่ได้นาน ถ้าย้ายไปคงไม่มีใครรับเราทำงาน แค่คนเกาหลีก็แย่งงานกันจะแย่แล้ว เค้าไม่จ้างต่างชาติจริงๆนะคะ ถ้าไม่นับที่รับไปเป็นหมอนวดหรือใช้แรงงาน นอกจากนี้แล้วคืออากาศที่ให้ตายก็ไม่มีทางชิน แททไม่ถูกกับอากาศหนาวจริงๆค่ะ ใส่เสื้อผ้าจนเป็นหมีก็ไม่อุ่น หน้านี่ลอกตั้งแต่วันแรกเลยค่ะ
ช่วงนั้นก่อนที่จะให้คำตอบอัปป้าแททคิดหนักมากนะคะ เพราะตอนนั้นคือ เราไม่กล้าขอให้เค้าเลือกเรา ความจริงก่อนเจอแทท โอปป้ามีแพลนว่าจะกลับเกาหลีค่ะ แต่บังเอิญได้งานใหม่ก็เลยกะจะอยู่ต่ออีกแค่ปีสองปี ดันมาเจอแททซะก่อน แททไม่เคยนึกในแง่มุมที่ว่าที่บ้านเค้าจะอยากให้เค้ากลับไปอยู่ที่เกาหลี จริงๆเค้าก็ต้องอยากอยู่แล้วเนอะ เพียงแต่แททไม่ได้นึกเลยจริงๆเพราะเห็นว่าโอปป้าอยู่ไทยมานานแล้ว มันนึกไม่ถึงจริงๆค่ะ
พอโอปป้ากลับมาจากเกาหลีนางก็เป็นไข้หวัดใหญ่จนเข้าโรงพยาบาล คงติดมาจากที่เกาหลี แล้วพอจะคุยเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นทะเลาะกัน เราน้อยใจเพราะว่าเราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เราไม่ใช่คนเกาหลีแล้วก็ไม่มีวันใช่ เราก็เลยพักเรื่องนี้ไปเลยค่ะ พอเค้าออกจากโรงพยาบาลมันก็ถึงเวลาที่ต้องคุยกันเพื่อไปให้คำตอบอัปป้า แต่คุยยังไงก็เหมือนว่าเราต้องเป็นฝ่ายยอม ช่วงนั้นเครียดมากนะคะ ทะเลาะกันหนักมากจนจะเลิกกัน ไม่คุยกันสักคำสองวันเต็มๆ ตอนนั้นแททไม่ร้องไห้ละค่ะ คิดแค่ว่า เลิกตอนนี้ก็ยังดีกว่ามีปัญหาในอนาคต เรารู้สึกเหมือนครอบครัวเค้ารับไม่ได้ที่เราเป็นคนไทย ไม่ใช่คนเกาหลี แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนตัวตนของเราได้ ผ่านไปสองวันแบบเงียบสนิทจนโอปป้าหมดความอดทนค่ะ เค้าถามแททว่าตกลงจะยังแต่งมั้ย แททไม่รู้จริงๆค่ะตอนนั้นก็เลยได้แค่นิ่ง เค้าเลยเข้ามากอดเรา บอกเราว่ายังไงเค้าก็จะแต่ง สิ่งที่เค้าต่อรองกับเราคือขอให้ย้ายไปเกาหลีชั่วคราวเมื่อมีลูก ให้หลานได้อยู่กับปู่ย่า ให้เค้าได้ดูแลพ่อแม่ และหาหนทางหลับมาอยู่ไทยแบบเป็น Expat (ทุกวันนี้นาง locally hired ค่ะ จะไม่ได้ benefit เรื่องที่พัก ค่าเทอมลูก ค่าเดินทาง)
เมื่อโอปป้านำคำตอบไปบอกคุณพ่อคุณแม่ ท่านก็ไม่ว่าอะไรค่ะ หาสถานที่จัดงานให้ทันที กลายเป็นว่าท่านแค่อยากรู้ว่าเราวางแผนกันยังไง คิดดีแล้วรึยัง ไม่ได้ไม่เห็นด้วยและไม่ได้มีปัญหากับแททเลย สะใภ้เกาหลีคิดไปเองจ้าา เป็นโรคมโน แถมเค้ายังต้อนรับเราดีมาก อัปป้านี่น่ารักมากๆๆๆๆๆ จนทำให้ความคิดที่จะย้ายไปอยู่เกาหลีไม่ได้น่ากลัวเท่าที่คิด ตราบใดที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันนะคะ 55555 ต้องขอบคุณอ้อมกอดนั้นที่ทำให้เรามีวันนี้ ไม่งั้นสะใภ้เกาหลีก็จะยังเป็นสาวไทยที่โสดและช่างมโนต่อไปค่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น