แนะนำตัวสะใภ้เกาหลีสวัสดีค่ะ



ตอนเด็กๆ (ไม่เด็กมาก อายุ13-14 ได้) เราเคยไปเที่ยวดิสนี่แลนด์ LA แล้วเจอผู้ชายคุกเข่าขอแฟนแต่งงานหน้าทางเข้า วงดนตรีล้อมแล้วบรรเลงเพลงตอนผู้หญิงเซย์เยส มายก๊อดดดด มันน่ารักมาก แต่นะคะ ชีวิตเรามันไม่ได้เหมือน fairytale สักนิดเลย 

ชื่อแททค่ะ อายุ20กว่าๆ กว่าปลายๆมากๆๆๆ เป็นสาวไทยธรรมดา เกิดและโตที่กทม.ค่ะ ตอนนี้แต่งงานแล้ว (เย้ๆๆๆ) กับหนุ่มเกาหลีที่ไม่ค่อยหนุ่มเท่าไหร่ อปป้าของหนูอายุ 34 จะ 35 แล้วค่ะ เป็นความคาดไม่ถึงของเพื่อนๆและครอบครัวเป็นอย่างมากค่ะ 

วันนี้เริ่มเขียน blog ขึ้นเพราะอยากแชร์เรื่องราวของเราสองคนรวมถึงรีวิวการแต่งงานแบบเกาหลีแท้ๆ ยาวไปถึงการใช้ชีวิตแบบแม่บ้านสะใภ้เกาหลีด้วยค่ะ






แททโชคดีที่ได้เรียนโรงเรียนอินเตอร์ตั้งแต่เด็กจนจบเกรด12เลยค่ะ ทำให้เราได้ภาษา ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ให้ภาษาเป็นการเบิกทางให้ได้สามีต่างชาติ แหะๆๆๆ แต่จากใจจริงนะคะ ตอนสมัยเรียนมีเพื่อนหลากหลายสัญชาติมากๆแต่เราไม่เคยชอบผู้ชายชาติอื่นเลย คบคนไทยมาตลอดเพราะคิดว่าคุยกันง่ายกว่า เข้าใจพื้นฐานครอบครัว+วัฒนธรรมกันทั้งสองฝ่าย 

*เนื่องจากเรียนอินเตอร์ตั้งแต่เด็ก ภาษาไทยไม่ค่อยแม่นนะคะ จะพยายามเช็คตัวสะกดให้พลาดน้อยที่สุด ถ้าผิดตรงไหน หนูขอโทษค่ะ >_<

หลังจากจบปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในไทย แททก็เริ่มทำงานค่ะ งานแรกตอนนั้นคือเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินอันยองฮาเซโยสายสีฟ้า ไม่ได้เกิดจากการปลื้ม Korean Fever ใดๆทั้งสิ้น บังเอิญได้แล้วก็เลยไปทำค่ะ งานแรกเลยไม่ได้คิดอะไรมาก 55555




ตามหลักสูตรการเทรนเป็นแอร์โฮสเตสอันสุดโหดของที่นั่น ดีตรงที่ว่า เค้าสอนเรื่องวัฒนธรรม การนั่ง การยืน คือกลายเป็นสาวเรียบร้อยไปเลยค่ะ ที่สำคัญที่สุดคือมีการสอนภาษาแบบคอร์สเร่งรัดให้สามารถเอาตัวรอดได้ภายในหนึ่งเดือน และเมื่อเริ่มทำงานจริง มันทำให้เรารู้เลยว่า คนเกาหลีโหดร้ายมากในแง่การทำงาน ตอนนั้นคือเราเหมือนเป็นคนชนชั้นล่างเลยค่ะ โดนเพื่อนร่วมงานกดขี่มาก แต่ต้องเข้าใจพื้นฐานคนเกาหลีด้วยนะคะ เค้าค่อนข้างชาตินิยมสูงและน้อยคนที่จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้การสื่อสารเป็นปัญหามาก ไม่ลงรายละเอียดเนอะ แต่เอาเป็นว่า มันทำให้แททไม่ชอบคนชาตินี้มากๆทีเดียวค่ะ อยู่แปบเดียว ลาออกซบอกแม่ค่ะ

หลายคนอาจจะคิดว่าเราเจออปป้าที่นี่ เปล่าจ้าาา อีกนานเลย แต่แค่เล่าให้เห็นภาพว่าทำไมเราไม่ชอบคนเกาหลีเท่าไหร่ ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้สามีเป็นเกา

หลายปีผ่านไปจนลืมไปแล้วว่าคนเกาหลีนั้นโหดร้ายเพียงใด แททก็เข้าทำงานบริษัทเครื่องสำอางค์เกาหลีแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่ง ตามสไตล์ค่ะ เจ้านายคนเกาหลีโหดมาก แต่แททเจอเพื่อนคนเกาหลีคนนึง เป็นผู้หญิงเกาหลีที่มีแฟนเป็นคนไทย สลับกันไปมาเนอะ เพื่อนคนนี้เป็นคนแนะนำให้เจอกะอปป้าค่ะ 

ตอนนั้นแททโสดแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยวมาก 5555 นางก็บอกว่า เนี่ยมีเพื่อนอยากแนะนำให้รู้จัก เราก็มีความกลัวเล็กน้อย เพราะได้ยินมาเยอะมากถึงความ aggressive ของผู้ชายเกาหลี แต่ก็เกรงใจเพื่อนด้วย ก็เลยบอกว่าไปกินข้าวได้ แต่รู้จักเป็นเพื่อนนะ เพื่อนผู้หญิงเราก็บอกว่า โอเคๆ ชิลๆนะ ไม่ซีเรียส 

เรานัดเจอกันที่ร้านอาหารเกาหลีที่ Korean Town อยู่ตรงสุขุมวิท 12 เป็นร้านปิ้งย่าง เรากะเพื่อนไปถึงก่อนอปป้าอีกค่ะ!! นางมาสายตั้งแต่เจอครั้งแรกเลยค่ะ ทั้งๆที่นางอยู่แค่ซอย24เอง ใกล้กว่าเรามาก ตอนเจอครั้งแรกก็เฉยๆนะคะ นางเป็นผู้ชายสายมีมาด ไม่ค่อยพูด แต่บังเอิญว่าคืนนั้นดันไปเจอเจ้านายคนเกาหลีของแททและเพื่อนโดยไม่ได้นัดหมาย คนเกาหลีเมื่ออยู่กันหลายคนก็ต้องเกิดการเมาค่ะ เราก็เป็นสายแบ๊ว จัดไปหลายอยู่ แต่ก็พยายามดื่มช้าๆจะได้ไม่เมา คืนนั้นจบลงที่อปป้าขอเบอร์เราแล้วนางจำไม่ได้ค่ะ (-____-")

หลังจากคืนนั้นเราก็บอกเพื่อนเลยว่าเราไม่ชอบคนนี้ 5555 (เหมือนสวยเลือกได้มากๆ) แต่ความจริงคือเรารู้สึกว่าผู้ชายเกาหลีรุกหนักมาก เรากลัว และที่สำคัญ อปป้าอายุมากกว่าเรา 6 ปี ซึ่งตามความเชื่อของคนจีนหมายถึงปีชง แททโดนที่บ้านปลูกฝังมาอย่างหนักว่าไม่ได้นะ ห้ามคบผู้ชายอายุมากกว่าหรือน้อยกว่า 6 ปีเด็ดขาด เราก็ทำตามอย่างเคร่งครัดเสมอมาก แต่อปป้าก็พยายามมากจริงๆค่ะ จนเราเริ่มใจอ่อน ก็เลยได้เจอกันบ่อยขึ้น แล้วก็คบกัน 



อปป้ามีชื่อว่า'ยองคยุน'ค่ะ เป็นหนุ่มเกาหลีที่มาเรียนปริญญาตรีที่ไทย ต่อโทแล้วก็ทำงานที่นี่มาตลอด อยู่ประเทศไทยมาเป็นเวลา 10 ปี อปป้าพูดไทยได้มากทีเดียว แต่สำเนียงจะตลกนิดๆ เราสื่อสารกันโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ตอนที่เจอกันอปป้าต้องบินไปกลับพม่า-กทม.ทุกๆ2อาทิตย์เพราะงาน ตอนนั้นทะเลาะกันบ่อยมากค่ะ เรางอแงมาก ก็เลยพยายามแก้ปัญหาโดยการสลับกันบินไปมาในวันเสาร์อาทิตย์ แททเลยไปเที่ยวพม่าบ่อยอยู่เหมือนกันค่ะตอนนั้น 

แต่ตามที่เกริ่นๆไว้ว่าที่บ้านแททเชื่อมากเรื่องปีชง พอคุณแม่รู้ว่าคบกัน ถึงขั้นขอให้เลิกเลย ความจริงที่บ้านแททค่อนข้างหัวสมัยใหม่นะคะ พ่อแม่จะปล่อยให้เราตัดสินใจเองซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยบังคับอะไร มีอะไรเราจะปรึกษากัน แต่ครั้งนั้นเรารู้สึกว่ามันหนักมากทีเดียว เพราะตอนนั้นแม่แททไม่สบายด้วยค่ะ แม่เลยยิ่งห่วงมากว่าแม่จะไม่สามารถปกป้องเราได้ ตอนนั้นแททเครียดมาก ไม่กล้าเล่าอะไรให้แม่ฟัง เล่าให้อปป้าฟังเค้าก็เครียดตาม ตอนนั้นก็เลยใช้วิธีค่อยๆพาไปเจอค่ะ บางทีแททไปหาแม่ที่รพ.อปป้าก็นั่งรอในรถเป็นชั่วโมงเพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ ดีที่อปป้าเป็นคนพูดน้อย ดูสุขุม แม่เลยค่อยๆเปิดใจค่ะ จนในที่สุดก่อนที่แม่จะเสีย แม่ก็ฝากให้เค้าดูแลเรา

ตอนไปเจอครอบครัวเค้าครั้งแรก จำได้ว่ากลัวมากค่ะ มีความกลัวมากกว่าตื่นเต้น เพราะจากที่ได้ยินมาตอนนั้นคือ คุณพ่ออปป้าเคยรับราชการแต่เกษียณแล้ว คุณแม่ก็เป็นแม่บ้านแบบเกาหลีเลย กลัวว่าเค้าจะหัวโบราณแล้วไม่โอเคกะเรารึเปล่า งานบ้านงานเรือนแทททำได้บ้างค่ะ แต่ไม่ได้เก่ง อาหารก็ทำเล่นสนุกๆค่ะ เลยกลัวว่าเค้าจะอยากได้ลูกสะใภ้ที่มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนมากกว่าเรา คนเกาหลีสมัยก่อนจะไม่ชอบให้ลูกหลานแต่งงานกับคนต่างชาติค่ะ เค้าเชื่อว่าคนเกาหลีที่แต่งงานกับคนต่างชาติคือไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอที่จะหาคู่ครองคนเกาหลีค่ะ ความจริงมีเหตุผลมากกว่านี้หลายอย่างที่เราเพิ่งมาเข้าใจทีหลังค่ะ หลังจากเจอกันครั้งแรกก็ไม่มีอะไรน่ากังวลนะคะ เพราะเราฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลย นั่งยิ้มอย่างเดียว สกิลภาษาเกาหลีเรียกได้ว่าคืนครูไปหมดแล้วค่ะ




จากนั้นเราก็คบกันมาเรื่อยๆจนเค้าขอเราแต่งงาน ไม่ได้มีโมเม้นแบบว่า จัดฉากเซอร์ไพรส์อะไรทั้งสิ้น อปป้าเขียนการ์ดขอเราแต่งงานตอนวันเกิด ไม่ได้สวีทอะไรเลยนะคะ แต่แอบน้ำตาคลอ 55555 หลังจากนั้นเราก็บินไปเจอคุณพ่อคุณแม่เค้าครั้งที่สอง ครั้งนี้เค้าก็รับรู้ละค่ะว่าจะแต่งงานกัน เค้าไม่ได้กีดกันอะไรแต่ตั้งคำถามมาให้พวกเราคิดและวางแผนก่อนที่จะแต่งงานกัน 





ความที่คุณพ่ออปป้าเป็นลูกชายคนโต คุณแม่ก็เลยเป็นสะใภ้คนโต ตามธรรมเนียมคือสะใภ้คนโตต้องเป็นแม่งานเวลานัดรวมญาติหรือไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งอปป้าเป็นลูกชายคนเดียว (มีพี่สาวนะคะ แต่ลูกชายเป็นใหญ่ในบ้าน) เราจะกลายเป็นสะใภ้ใหญ่ แน่นอนว่าพวกธรรมเนียมการไหว้เราไม่มีความรู้เลย แททเป็นคนจีนนะคะ อาม่าเราก็ไหว้ แต่มันไม่เหมือนกันซะทีเดียว ของแบบนี้เรียนรู้ได้ก็จริงแต่ก็ไม่ง่ายเลย มันเป็นการปลูกฝังตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย 

ถ้าเรามีลูก ลูกเราจะกลายเป็นลูกครึ่งเกาหลี-ไทย ซึ่งถ้าอยู่บ้านเราคือโอเค หล่อเลย ลูกครึ่งมักจะหน้าตาดี คิดเองนะคะ 5555 แต่ถ้าอยู่บ้านเค้าคือเด็กจะโดนเพื่อนแกล้ง แททเองก็จะไม่สามารถเข้าสังคมพวกแม่ๆเกาหลีได้ แม้ว่าเราจะได้ภาษาก็ตาม

คำถามสุดท้ายคือ เราจะใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนกัน แททว่ามันคือความใจหายอ่ะค่ะ อปป้าอยู่ที่ไทยมา 10 ปีแล้วก็จริง แต่ถ้าไม่ได้แต่งงานกับเรา วันนึงเค้าก็คงย้ายกลับไป คุณพ่อคงใจหายว่าลูกอาจจะไม่ได้กลับไปอยู่เกาหลีอีกแล้ว 




เราสองคนอาจจะยังไม่มีแผนการอะไรแน่นอนสำหรับอนาคตนะคะ แต่ตอนนี้ก็แต่งงานกันแล้ว แททก็กลายเป็นอาจุมม่าทันที เราจัดงานแต่งที่เกาหลีก่อน เป็นแบบ Traditional Korean Wedding เลยค่ะ แล้วก็มาจัดงานเลี้ยงที่ไทยอีกที ไว้ครั้งหน้าจะมาแชร์เรื่องพิธีแต่งงานนะคะ 



ยาวมาก ขอบคุณทุกท่านที่อ่านนะคะ เราหวังว่าจะมีคนอ่านสักนิดนึงงงง เพี้ยง!

ความคิดเห็น

  1. สวัสดีค่ะ อยากสอบถามคุณแทท เกี่ยวกับวัฒนธรรมเกาหลี ไม่ทราบว่าติดต่อได้ทางไหนบ้างคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ^^

    ตอบลบ
  2. แฟนคุณแนทคบกับคุณแนทนานมั้ยคะ ก่อนจะพาไปพบผู้ใหญ่ แล้วหลังจากนั้นเค้าขอคุณแนทแต่งงานเลยมั้ยคะ พอจะมีช่องทางติดต่อมั้ยคะ ^^~

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อยู่กับหนุ่มเกาหลีให้เป็น

พิธีแต่งงาน Traditional Korean Wedding

โอปป้าคิดยังไงกับหญิงไทย